แน่นอนครับ มาดูกรณีศึกษาการใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัยในการลงทุนจริงกัน ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าแนวคิดนี้นำไปใช้ได้อย่างไรในโลกแห่งความเป็นจริง

กรณีศึกษาการใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัยในการลงทุนจริง: เมื่อทฤษฎีพบกับความเป็นจริง

  1. กรณีศึกษา: Warren Buffett ลงทุนใน Coca-Cola (1988)
    สถานการณ์:
  • ในปี 1988 Coca-Cola กำลังเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งอย่าง Pepsi
  • ราคาหุ้นตกลงมาเหลือประมาณ $4 ต่อหุ้น (ปรับตามการแตกหุ้น) การวิเคราะห์ของ Buffett:
  • ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของ Coca-Cola ที่ประมาณ $6 ต่อหุ้น
  • เห็นศักยภาพการเติบโตในตลาดต่างประเทศ
  • เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของแบรนด์ การใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัย:
  • ซื้อหุ้นที่ราคาประมาณ $4 ซึ่งมีส่วนเผื่อความปลอดภัยประมาณ 33%
  • ลงทุนเป็นเงินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ผลลัพธ์:
  • ภายใน 3 ปี ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า
  • ปัจจุบัน การลงทุนนี้ให้ผลตอบแทนมากกว่า 16 เท่าของเงินลงทุนเริ่มต้น
  1. กรณีศึกษา: Seth Klarman ลงทุนในหนี้เสียช่วงวิกฤตการเงิน 2008
    สถานการณ์:
  • วิกฤตการเงินปี 2008 ทำให้ราคาสินทรัพย์ทุกประเภทตกต่ำ
  • ตราสารหนี้หลายตัวถูกขายทิ้งในราคาต่ำมาก แม้จะมีคุณภาพดี การวิเคราะห์ของ Klarman:
  • ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของตราสารหนี้โดยดูจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร
  • เชื่อว่าตลาดกำลังตื่นตระหนกเกินเหตุ การใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัย:
  • ซื้อตราสารหนี้ที่มีราคาต่ำกว่า 50% ของมูลค่าที่แท้จริง
  • มีส่วนเผื่อความปลอดภัยมากกว่า 50% ผลลัพธ์:
  • หลังวิกฤตผ่านพ้น ตราสารหนี้เหล่านี้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
  • กองทุนของ Klarman ทำผลตอบแทนได้มากกว่า 20% ในปี 2009
  1. กรณีศึกษา: Joel Greenblatt ลงทุนใน EZCORP (2000s)
    สถานการณ์:
  • EZCORP เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงรับจำนำ
  • ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 หุ้นมีราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับกำไร การวิเคราะห์ของ Greenblatt:
  • ใช้ “Magic Formula” ของเขาในการคัดกรองหุ้น
  • พบว่า EZCORP มี ROC (Return on Capital) สูงและ Earnings Yield สูง การใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัย:
  • ซื้อหุ้นที่ P/E ratio ต่ำกว่า 10 เท่า
  • ประเมินว่ามีส่วนเผื่อความปลอดภัยมากกว่า 40% ผลลัพธ์:
  • ภายในไม่กี่ปี ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่า
  • กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Greenblatt
  1. กรณีศึกษา: Mohnish Pabrai ลงทุนใน Fiat Chrysler (2012)
    สถานการณ์:
  • Fiat Chrysler กำลังเผชิญปัญหาหลังวิกฤตการเงิน 2008
  • ราคาหุ้นตกต่ำมาก แม้บริษัทจะเริ่มฟื้นตัว การวิเคราะห์ของ Pabrai:
  • เห็นศักยภาพในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์
  • ประทับใจความสามารถของ CEO Sergio Marchionne การใช้ส่วนเผื่อความปลอดภัย:
  • ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่า 5 ยูโรต่อหุ้น
  • ประเมินมูลค่าที่แท้จริงไว้ที่ 15-20 ยูโรต่อหุ้น (ส่วนเผื่อมากกว่า 200%) ผลลัพธ์:
  • ภายใน 5 ปี ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่า
  • กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดของ Pabrai

บทเรียนสำคัญจากกรณีศึกษาเหล่านี้:

  1. ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ – บางครั้งต้องรอหลายปีกว่าตลาดจะรับรู้มูลค่าที่แท้จริง
  2. การวิเคราะห์เชิงลึกเป็นสิ่งจำเป็น – ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขเท่านั้น
  3. ความกล้าที่จะแตกต่าง – บ่อยครั้งที่โอกาสดีๆ มาในช่วงที่คนอื่นกลัว
  4. การมีส่วนเผื่อความปลอดภัยสูงช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไรได้มาก
  5. แม้แต่บริษัทใหญ่และมีชื่อเสียงก็สามารถมีช่วงที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงได้

สุดท้ายนี้ อยากให้เพื่อนๆ นักลงทุนตระหนักว่า แม้กรณีศึกษาเหล่านี้จะน่าประทับใจ แต่การลงทุนก็ยังคงมีความเสี่ยง

ไม่ใช่ทุกการลงทุนที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัยจะประสบความสำเร็จ และนักลงทุนเหล่านี้ก็มีประสบการณ์และความรู้มากมาย

ดังนั้น ควรศึกษา วิเคราะห์อย่างรอบคอบ และกระจายความเสี่ยงเสมอนะครับ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ!

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *