ครับ การวิเคราะห์แบบ Bottom-up มีทั้งข้อดีและข้อจำกัด เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้านเลยล่ะครับ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:
ข้อดีของการวิเคราะห์แบบ Bottom-up:
- เข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง:
- ทำให้รู้จักบริษัทที่ลงทุนอย่างถ่องแท้
- เหมือนกับรู้จักเพื่อนคนหนึ่งอย่างละเอียด รู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง
- ค้นพบโอกาสที่ถูกมองข้าม:
- อาจพบหุ้นดีๆ ที่คนอื่นยังไม่เห็นศักยภาพ
- เหมือนเจอร้านอาหารอร่อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ
- ลดผลกระทบจากกระแสตลาด:
- ไม่หวั่นไหวง่ายๆ กับข่าวลือหรือความผันผวนระยะสั้น
- เหมือนมีเข็มทิศของตัวเอง ไม่ต้องวิ่งตามคนอื่น
- เหมาะกับการลงทุนระยะยาว:
- สร้างความมั่นใจในการถือครองหุ้นนานๆ
- เหมือนปลูกต้นไม้แล้วดูแลมันเติบโต
- พัฒนาทักษะการวิเคราะห์:
- ฝึกฝนการอ่านงบการเงินและเข้าใจธุรกิจ
- เหมือนการฝึกสมองให้คิดวิเคราะห์เป็นระบบ
ข้อจำกัดของการวิเคราะห์แบบ Bottom-up:
- ใช้เวลามาก:
- ต้องศึกษาข้อมูลจำนวนมาก อาจเสียเวลาโอกาสลงทุน
- เหมือนทำการบ้านเยอะมาก อาจไม่ทันส่งครู
- อาจมองข้ามปัจจัยมหภาค:
- เน้นที่บริษัทมากเกินไป อาจลืมดูภาพรวมเศรษฐกิจ
- เหมือนมัวแต่ดูต้นไม้ จนลืมมองว่าป่าทั้งป่าเป็นยังไง
- ความลำเอียงจากข้อมูล:
- อาจหลงรักบริษัทที่ศึกษามาก จนมองข้ามจุดอ่อน
- เหมือนพ่อแม่มองลูกตัวเองว่าน่ารักที่สุดในโลก
- ไม่เหมาะกับทุกสภาวะตลาด:
- ในช่วงวิกฤตหรือตลาดผันผวนมาก อาจใช้ได้ไม่ดีนัก
- เหมือนใช้แว่นขยายส่องดูมด ในขณะที่มีพายุกำลังจะมา
- จำกัดการกระจายความเสี่ยง:
- อาจเลือกลงทุนในบริษัทที่ชอบเพียงไม่กี่แห่ง
- เหมือนเอาไข่ไปใส่ในตะกร้าเพียงไม่กี่ใบ
- ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง:
- ต้องเข้าใจธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายประเภท
- เหมือนต้องเป็นหมอหลายสาขาในคนเดียว
- อาจพลาดโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่:
- มักมุ่งเน้นที่บริษัทที่มีประวัติดี อาจมองข้ามธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพ
- เหมือนชอบกินอาหารจานเดิม ไม่ยอมลองเมนูใหม่ๆ
- ความเสี่ยงจากข้อมูลไม่สมบูรณ์:
- บางครั้งข้อมูลที่เปิดเผยอาจไม่ครบถ้วนหรือคลาดเคลื่อน
- เหมือนต้องตัดสินใจซื้อบ้านโดยดูแค่รูปถ่าย ไม่ได้เข้าไปดูของจริง
สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกว่าไม่มีวิธีไหนที่สมบูรณ์แบบ 100% นะครับ การผสมผสานวิธีต่างๆ และปรับให้เหมาะกับสถานการณ์อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เหมือนกับการทำอาหาร บางครั้งเราก็ต้องปรับสูตรให้เข้ากับวัตถุดิบที่มี หรือรสนิยมของคนกินนั่นเองครับ
มีอะไรสงสัยเพิ่มเติมไหมครับ?
ใส่ความเห็น