การวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรมเป็นทักษะสำคัญสำหรับนักลงทุนแบบ Value Investing เพราะช่วยให้เราเข้าใจว่าบริษัทสร้างมูลค่าและรายได้อย่างไร มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไร และมีโอกาสเติบโตในอนาคตหรือไม่
1. โมเดลธุรกิจ (Business Model) และการสร้างรายได้
โมเดลธุรกิจ คือ แผนที่อธิบายวิธีการที่บริษัทสร้าง ส่งมอบ และเก็บเกี่ยวมูลค่า การเข้าใจโมเดลธุรกิจช่วยให้นักลงทุนประเมินความยั่งยืนและศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทได้
องค์ประกอบสำคัญของโมเดลธุรกิจ:
- คุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition): สิ่งที่บริษัทเสนอให้ลูกค้าเพื่อแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการ
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Customer Segments): กลุ่มคนหรือองค์กรที่บริษัทต้องการให้บริการ
- ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า (Channels): วิธีที่บริษัทสื่อสารและส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้า
- ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships): รูปแบบความสัมพันธ์ที่บริษัทสร้างกับลูกค้า
- กระแสรายได้ (Revenue Streams): วิธีที่บริษัทสร้างรายได้จากแต่ละกลุ่มลูกค้า
- ทรัพยากรหลัก (Key Resources): สินทรัพย์สำคัญที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ
- กิจกรรมหลัก (Key Activities): กิจกรรมสำคัญที่บริษัทต้องทำเพื่อให้โมเดลธุรกิจทำงานได้
- พันธมิตรหลัก (Key Partners): เครือข่ายซัพพลายเออร์และพาร์ทเนอร์ที่ทำให้โมเดลธุรกิจทำงานได้
- โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure): ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
รูปแบบการสร้างรายได้ที่พบบ่อย:
- การขายสินค้า: รายได้จากการขายสินค้าที่จับต้องได้
- ค่าบริการ: รายได้จากการให้บริการ
- ค่าสมาชิก: รายได้จากการเก็บค่าสมาชิกรายเดือนหรือรายปี
- ค่าเช่า/ค่าใช้: รายได้จากการให้ใช้ทรัพย์สินชั่วคราว
- ค่าลิขสิทธิ์: รายได้จากการอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สินทางปัญญา
- ค่านายหน้า: รายได้จากการเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
- โฆษณา: รายได้จากการขายพื้นที่โฆษณา
ตัวอย่างการวิเคราะห์โมเดลธุรกิจ: Netflix
- คุณค่าที่นำเสนอ: ความบันเทิงที่หลากหลายในราคาที่จ่ายได้
- กลุ่มลูกค้า: ผู้ชมทั่วโลกที่ชื่นชอบความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ
- ช่องทาง: แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์
- รายได้: ค่าสมาชิกรายเดือน
- ทรัพยากรหลัก: คอนเทนต์ต้นฉบับ, เทคโนโลยีสตรีมมิ่ง
- กิจกรรมหลัก: การผลิตคอนเทนต์, การพัฒนาแพลตฟอร์ม, การวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้
การวิเคราะห์โมเดลธุรกิจช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าบริษัทสร้างมูลค่าและรายได้อย่างไร ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการประเมินความยั่งยืนและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ
2. การวิเคราะห์ Five Forces Model ของ Michael Porter
Five Forces Model เป็นเครื่องมือที่พัฒนาโดย Michael Porter เพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมการแข่งขันในอุตสาหกรรม ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
องค์ประกอบของ Five Forces Model:
- การแข่งขันระหว่างคู่แข่งในอุตสาหกรรม (Rivalry Among Existing Competitors)
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: จำนวนคู่แข่ง, อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม, ความแตกต่างของสินค้า, ต้นทุนคงที่
- ตัวอย่าง: ในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน การแข่งขันระหว่าง Apple, Samsung, Huawei มีความรุนแรงสูง
- อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ (Bargaining Power of Buyers)
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: จำนวนผู้ซื้อ, ขนาดการสั่งซื้อ, ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าอื่น, ความสำคัญของสินค้าต่อผู้ซื้อ
- ตัวอย่าง: ในธุรกิจค้าปลีก ลูกค้ามีอำนาจต่อรองสูงเพราะมีทางเลือกมาก และสามารถเปลี่ยนไปซื้อจากร้านอื่นได้ง่าย
- อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์ (Bargaining Power of Suppliers)
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: จำนวนซัพพลายเออร์, ความแตกต่างของวัตถุดิบ, ต้นทุนในการเปลี่ยนซัพพลายเออร์
- ตัวอย่าง: ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซัพพลายเออร์มีอำนาจต่อรองสูงเนื่องจากมีจำนวนน้อยรายและมีเทคโนโลยีเฉพาะ
- ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products or Services)
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: ราคาและประสิทธิภาพของสินค้าทดแทน, ต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้สินค้าทดแทน
- ตัวอย่าง: บริการสตรีมมิ่งเพลงออนไลน์เป็นสินค้าทดแทนที่คุกคามธุรกิจขายซีดีเพลง
- ภัยคุกคามจากผู้เล่นรายใหม่ (Threat of New Entrants)
- ปัจจัยที่ต้องพิจารณา: เงินลงทุนที่ต้องใช้, การประหยัดต่อขนาด, การเข้าถึงช่องทางจัดจำหน่าย, กฎระเบียบข้อบังคับ
- ตัวอย่าง: ในอุตสาหกรรมการบิน ภัยคุกคามจากผู้เล่นรายใหม่ค่อนข้างต่ำเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีกฎระเบียบมาก
การนำ Five Forces Model ไปใช้ในการวิเคราะห์การลงทุน:
- ประเมินความน่าสนใจของอุตสาหกรรม: อุตสาหกรรมที่มีแรงกดดันทั้ง 5 ด้านต่ำ มักจะมีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่า
- เข้าใจตำแหน่งของบริษัทในอุตสาหกรรม: บริษัทที่สามารถต้านทานแรงกดดันได้ดีมักจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
- คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคต: การเปลี่ยนแปลงในปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอาจส่งผลต่อความน่าสนใจของอุตสาหกรรมและตำแหน่งของบริษัท
- ระบุโอกาสและความเสี่ยง: ช่วยให้นักลงทุนเห็นโอกาสในการเติบโตและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การวิเคราะห์ด้วย Five Forces Model ช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการแข่งขันของธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน
3. การประเมินความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ
ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) คือ คุณลักษณะที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่าคู่แข่งในระยะยาว การประเมินความได้เปรียบนี้เป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์การลงทุนแบบ Value Investing
แหล่งที่มาของความได้เปรียบในการแข่งขัน:
- ความเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership)
- ลักษณะ: ความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง
- ตัวอย่าง: Walmart สามารถเสนอราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งได้เนื่องจากมีระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพสูง
- การวิเคราะห์: ดูอัตรากำไรขั้นต้น, ประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน, การประหยัดต่อขนาด
- การสร้างความแตกต่าง (Differentiation)
- ลักษณะ: การนำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- ตัวอย่าง: Apple สร้างความแตกต่างด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และระบบนิเวศที่ครบวงจร
- การวิเคราะห์: ดูส่วนแบ่งตลาด, ความภักดีของลูกค้า, ความสามารถในการตั้งราคาสูง
- การเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี (Technological Leadership)
- ลักษณะ: การมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่ง
- ตัวอย่าง: NVIDIA ในด้านชิปประมวลผลกราฟิก (GPU)
- การวิเคราะห์: ดูการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D), จำนวนสิทธิบัตร, ความเร็วในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่
- การประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
- ลักษณะ: ความสามารถในการลดต้นทุนต่อหน่วยเมื่อผลิตในปริมาณมาก
- ตัวอย่าง: Amazon ในธุรกิจ e-commerce และ cloud computing
- การวิเคราะห์: ดูขนาดของธุรกิจเทียบกับคู่แข่ง, ประสิทธิภาพในการผลิต, อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นตามขนาดธุรกิจ
- เครือข่ายผลกระทบ (Network Effects)
- ลักษณะ: มูลค่าของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้
- ตัวอย่าง: Facebook ในธุรกิจโซเชียลมีเดีย
- การวิเคราะห์: ดูอัตราการเติบโตของผู้ใช้, ความยากในการเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่น
- ทรัพยากรที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ (Inimitable Resources)
- ลักษณะ: การมีทรัพยากรที่คู่แข่งไม่สามารถหาหรือทำซ้ำได้ง่าย
- ตัวอย่าง: Disney กับคาแรคเตอร์และทรัพย์สินทางปัญญา
- การวิเคราะห์: ดูสินทรัพย์ไม่มีตัวตน, ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร
- ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (Geographical Advantage)
- ลักษณะ: การได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
- ตัวอย่าง: บริษัทขุดแร่ที่มีสิทธิในแหล่งแร่ที่อุดมสมบูรณ์
- การวิเคราะห์: ดูที่ตั้งของสินทรัพย์หลัก, การเข้าถึงทรัพยากรหรือตลาดที่สำคัญ
- วิธีการประเมินความได้เปรียบในการแข่งขัน:
- วิเคราะห์ส่วนแบ่งตลาดและแนวโน้ม: บริษัทที่มีความได้เปรียบมักจะมีส่วนแบ่งตลาดที่สูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- ศึกษาอัตรากำไรเทียบกับคู่แข่ง: ความได้เปรียบมักจะสะท้อนในอัตรากำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
- ประเมินความยั่งยืนของความได้เปรียบ: พิจารณาว่าคู่แข่งจะสามารถลอกเลียนแบบหรือทำลายความได้เปรียบนั้นได้ง่ายเพียงใด
- วิเคราะห์ความภักดีของลูกค้า: ดูอัตราการรักษาลูกค้า, ความถี่ในการซื้อซ้ำ, และความเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
- ศึกษาการลงทุนในนวัตกรรม: ดูสัดส่วนการลงทุนใน R&D และความสามารถในการสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ
- การประเมินความได้เปรียบในการแข่งขันช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่าธุรกิจมีศักยภาพในการสร้างผลกำไรที่เหนือกว่าคู่แข่งในระยะยาวหรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนแบบ Value Investing
- 4. การวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมและโอกาสการเติบโต
- การวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมและโอกาสการเติบโตเป็นส่วนสำคัญในการประเมินศักยภาพระยะยาวของธุรกิจ นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมและโอกาสของบริษัทในอนาคต
- ขั้นตอนในการวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรม:
- ศึกษาขนาดตลาดและอัตราการเติบโต
- ดูมูลค่าตลาดรวม (Total Addressable Market – TAM)
- วิเคราะห์อัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา
- คาดการณ์การเติบโตในอนาคต 5-10 ปี
- วิเคราะห์วงจรชีวิตของอุตสาหกรรม
- ระบุว่าอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงใด: เกิดใหม่, เติบโต, อิ่มตัว, หรือถดถอย
- พิจารณาโอกาสและความเสี่ยงในแต่ละช่วงของวงจรชีวิต
- ศึกษาปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต
- ปัจจัยทางเศรษฐกิจ: เช่น การเติบโตของ GDP, รายได้ประชากร
- ปัจจัยทางประชากรศาสตร์: เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุประชากร
- ปัจจัยทางเทคโนโลยี: เช่น นวัตกรรมใหม่ที่กระทบอุตสาหกรรม
- ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม: เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
- วิเคราะห์กฎระเบียบและนโยบายภาครัฐ
- ศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม
- พิจารณานโยบายส่งเสริมหรือควบคุมจากภาครัฐ
- ประเมินการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
- ระบุเทคโนโลยีใหม่ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
- วิเคราะห์โอกาสและภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
- วิเคราะห์แนวโน้มการควบรวมกิจการ
- ศึกษาประวัติการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรม
- ประเมินโอกาสการเกิดการควบรวมกิจการในอนาคต
- การประเมินโอกาสการเติบโตของบริษัท:
- วิเคราะห์ส่วนแบ่งตลาด
- ดูส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง
- เปรียบเทียบกับคู่แข่งรายสำคัญ
- ประเมินความสามารถในการขยายตลาด
- ศึกษาแผนการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่หรือกลุ่มลูกค้าใหม่
- วิเคราะห์ความเป็นไปได้และความท้าทายในการขยายตลาด
- วิเคราะห์การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
- ศึกษาแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่
- ประเมินศักยภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ในการสร้างรายได้
- ประเมินความสามารถในการปรับตัว
- วิเคราะห์ประวัติการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
- ประเมินความยืดหยุ่นของโมเดลธุรกิจต่อการเปลี่ยนแปลง
- วิเคราะห์ความสามารถทางการเงิน
- ประเมินความพร้อมทางการเงินในการลงทุนเพื่อการเติบโต
- วิเคราะห์ความสามารถในการระดมทุนเพิ่มเติมหากจำเป็น
- ตัวอย่างการวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมและโอกาสการเติบโต: อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
- ขนาดตลาดและการเติบโต:
- ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีมูลค่า 370 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022
- คาดการณ
- คาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง 1,579 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
- อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ประมาณ 19.8% ในช่วงปี 2023-2030
- วงจรชีวิตของอุตสาหกรรม:
- อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ในช่วง “เติบโต” ของวงจรชีวิต
- มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง
- ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต:
- ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐในหลายประเทศ
- การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและราคาถูกลง
- การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟ
- กฎระเบียบและนโยบายภาครัฐ:
- หลายประเทศมีเป้าหมายยกเลิกการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2030-2040
- มีการให้แรงจูงใจทางภาษีและเงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
- การกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้นสำหรับยานพาหนะ
- การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี:
- การพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงขึ้นและชาร์จได้เร็วขึ้น
- เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่ก้าวหน้าขึ้น
- การพัฒนาวัสดุน้ำหนักเบาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- แนวโน้มการควบรวมกิจการ:
- มีการควบรวมกิจการระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมกับบริษัทเทคโนโลยี
- การเข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และซอฟต์แวร์ยานยนต์
- การประเมินโอกาสการเติบโตของบริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า:
- ใช้ Tesla เป็นตัวอย่างในการวิเคราะห์:
- ส่วนแบ่งตลาด:
- Tesla มีส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกประมาณ 14% ในปี 2022
- แนวโน้มส่วนแบ่งตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
- ความสามารถในการขยายตลาด:
- Tesla มีแผนขยายการผลิตไปยังตลาดสำคัญ เช่น จีนและยุโรป
- มีการพัฒนารถยนต์รุ่นที่มีราคาถูกลงเพื่อเข้าถึงตลาดมวลชนมากขึ้น
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่:
- พัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ (Autopilot)
- ขยายธุรกิจไปสู่การผลิตแบตเตอรี่และระบบพลังงานแสงอาทิตย์
- ความสามารถในการปรับตัว:
- Tesla แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวต่อปัญหาห่วงโซ่อุปทานและการขาดแคลนชิป
- มีการพัฒนาซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ภายในบริษัทเอง ทำให้สามารถควบคุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างยืดหยุ่น
- ความสามารถทางการเงิน:
- Tesla มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนมาก ทำให้มีความพร้อมในการลงทุนเพื่อการเติบโต
- มีความสามารถในการระดมทุนที่แข็งแกร่งผ่านตลาดทุน
- สรุปการวิเคราะห์:
- อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากนโยบายภาครัฐ การพัฒนาเทคโนโลยี และความต้องการของผู้บริโภค บริษัทอย่าง Tesla มีโอกาสเติบโตสูงจากการเป็นผู้นำตลาดและความสามารถในการพัฒนานวัตกรรม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น การพึ่งพานโยบายภาครัฐ และความผันผวนของราคาวัตถุดิบประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย
- บทสรุป Module 2: การวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรม
- ในโมดูลนี้ เราได้เรียนรู้เครื่องมือและแนวคิดสำคัญในการวิเคราะห์ธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนแบบ Value Investing โดยครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ดังนี้:
- โมเดลธุรกิจและการสร้างรายได้: เรียนรู้วิธีวิเคราะห์ว่าบริษัทสร้างมูลค่าและรายได้อย่างไร
- Five Forces Model ของ Michael Porter: เครื่องมือในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมการแข่งขันในอุตสาหกรรม
- การประเมินความได้เปรียบในการแข่งขัน: วิธีระบุและวิเคราะห์จุดแข็งที่ทำให้บริษัทเหนือกว่าคู่แข่ง
- การวิเคราะห์แนวโน้มอุตสาหกรรมและโอกาสการเติบโต: แนวทางในการประเมินศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมและบริษัท
- การใช้เครื่องมือและแนวคิดเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินคุณภาพของธุรกิจและโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ที่ดีต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ นักลงทุนควรฝึกใช้เครื่องมือเหล่านี้กับบริษัทจริงๆ และติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ของตนเอง
- ในโมดูลต่อไป เราจะเจาะลึกเข้าสู่การอ่านและวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งเป็นทักษะสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับนักลงทุนแบบ Value Investing
ใส่ความเห็น