การอ่านและวิเคราะห์งบการเงินเป็นทักษะสำคัญสำหรับนักลงทุนแบบ Value Investing เพราะช่วยให้เราเข้าใจสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และแนวโน้มของบริษัทได้อย่างลึกซึ้ง

1. โครงสร้างของงบการเงิน: งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด

งบการเงินหลักประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด แต่ละส่วนให้ข้อมูลที่แตกต่างกันแต่มีความเชื่อมโยงกัน

1.1 งบดุล (Balance Sheet)

งบดุลแสดงฐานะทางการเงินของบริษัท ณ วันใดวันหนึ่ง โดยแสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น

สมการงบดุล: สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

องค์ประกอบของงบดุล:

  1. สินทรัพย์ (Assets)
  • สินทรัพย์หมุนเวียน: เงินสด, ลูกหนี้การค้า, สินค้าคงเหลือ
  • สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน: ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์, สินทรัพย์ไม่มีตัวตน
  1. หนี้สิน (Liabilities)
  • หนี้สินหมุนเวียน: เจ้าหนี้การค้า, เงินกู้ระยะสั้น
  • หนี้สินไม่หมุนเวียน: เงินกู้ระยะยาว, หุ้นกู้
  1. ส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Equity)
  • ทุนจดทะเบียน, กำไรสะสม, องค์ประกอบอื่นของส่วนของผู้ถือหุ้น

สิ่งที่ควรสังเกตในงบดุล:

  • สภาพคล่อง: อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน
  • โครงสร้างเงินทุน: สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
  • คุณภาพสินทรัพย์: อายุของลูกหนี้และสินค้าคงเหลือ

1.2 งบกำไรขาดทุน (Income Statement)

งบกำไรขาดทุนแสดงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง (เช่น 1 ปี หรือ 1 ไตรมาส) โดยแสดงรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไร(ขาดทุน)สุทธิ

องค์ประกอบของงบกำไรขาดทุน:

  1. รายได้ (Revenue)
  2. ต้นทุนขาย (Cost of Goods Sold)
  3. กำไรขั้นต้น (Gross Profit)
  4. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A Expenses)
  5. กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Income)
  6. รายได้และค่าใช้จ่ายอื่น
  7. ภาษีเงินได้
  8. กำไรสุทธิ (Net Income)

สิ่งที่ควรสังเกตในงบกำไรขาดทุน:

  • แนวโน้มการเติบโตของรายได้
  • อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ
  • สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้

1.3 งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)

งบกระแสเงินสดแสดงการเปลี่ยนแปลงของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในช่วงเวลาหนึ่ง โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลัก

องค์ประกอบของงบกระแสเงินสด:

  1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
  • กำไรสุทธิ + รายการปรับปรุงที่ไม่ใช่เงินสด (เช่น ค่าเสื่อมราคา)
  • การเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน
  1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน
  • การซื้อหรือขายสินทรัพย์ถาวร
  • การลงทุนในบริษัทอื่นหรือหลักทรัพย์
  1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
  • การกู้ยืมหรือชำระคืนเงินกู้
  • การออกหุ้นหรือซื้อหุ้นคืน
  • การจ่ายเงินปันผล

สิ่งที่ควรสังเกตในงบกระแสเงินสด:

  • คุณภาพของกำไร: เปรียบเทียบกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกับกำไรสุทธิ
  • ความสามารถในการลงทุน: กระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow)
  • นโยบายการจัดการเงินทุน: การจ่ายเงินปันผล, การซื้อหุ้นคืน

ความเชื่อมโยงระหว่างงบการเงินทั้งสาม:

  • กำไรสุทธิจากงบกำไรขาดทุนจะเพิ่มกำไรสะสมในงบดุล
  • การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินในงบดุลจะสะท้อนในงบกระแสเงินสด
  • เงินสดคงเหลือในงบกระแสเงินสดจะต้องตรงกับเงินสดในงบดุล

การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างงบการเงินทั้งสามช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์สถานะทางการเงินของบริษัทได้อย่างครอบคลุมและลึกซึ้งมากขึ้น

2. อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญสำหรับการประเมินสุขภาพธุรกิจ

อัตราส่วนทางการเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงินของธุรกิจ โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ดังนี้

2.1 อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios)

  1. อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio)
  • สูตร: สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน
  • ความหมาย: วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น
  • เกณฑ์ทั่วไป: > 1.5 ถือว่าดี
  1. อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio)
  • สูตร: (สินทรัพย์หมุนเวียน – สินค้าคงเหลือ) / หนี้สินหมุนเวียน
  • ความหมาย: วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นโดยไม่พึ่งสินค้าคงเหลือ
  • เกณฑ์ทั่วไป: > 1 ถือว่าดี

2.2 อัตราส่วนประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Efficiency Ratios)

  1. อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Asset Turnover)
  • สูตร: รายได้ / สินทรัพย์รวมเฉลี่ย
  • ความหมาย: วัดประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์เพื่อสร้างรายได้
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม
  1. ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (Days Sales Outstanding)
  • สูตร: (ลูกหนี้การค้า / รายได้) x 365
  • ความหมาย: จำนวนวันเฉลี่ยในการเก็บเงินจากลูกค้า
  • เกณฑ์: ยิ่งน้อยยิ่งดี แต่ต้องเหมาะสมกับนโยบายเครดิตของบริษัท

2.3 อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratios)

  1. อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin)
  • สูตร: (รายได้ – ต้นทุนขาย) / รายได้
  • ความหมาย: วัดความสามารถในการทำกำไรขั้นต้น
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ต้องเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
  1. อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
  • สูตร: กำไรสุทธิ / รายได้
  • ความหมาย: วัดความสามารถในการทำกำไรสุทธิ
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ต้องเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
  1. อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (Return on Assets – ROA)
  • สูตร: กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวมเฉลี่ย
  • ความหมาย: วัดประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์เพื่อสร้างกำไร
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ่งดี ควรมากกว่าต้นทุนเงินทุนของบริษัท
  1. อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity – ROE)
  • สูตร: กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย
  • ความหมาย: วัดความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ่งดี แต่ต้องพิจารณาควบคู่กับความเสี่ยงทางการเงิน
  • 2.4 อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงิน (Financial Structure Ratios)
  • อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio)
  • สูตร: หนี้สินรวม / ส่วนของผู้ถือหุ้น
  • ความหมาย: วัดสัดส่วนการใช้เงินทุนจากหนี้สินเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น
  • เกณฑ์: ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม แต่โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 2
  • อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio)
  • สูตร: กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) / ดอกเบี้ยจ่าย
  • ความหมาย: วัดความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย
  • เกณฑ์: ยิ่งสูงยิ่งดี โดยทั่วไปควรมากกว่า 3
  • 2.5 อัตราส่วนมูลค่าตลาด (Market Value Ratios)
  • อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio – P/E)
  • สูตร: ราคาตลาดต่อหุ้น / กำไรต่อหุ้น
  • ความหมาย: แสดงว่านักลงทุนยินดีจ่ายเท่าไหร่สำหรับกำไร 1 บาทของบริษัท
  • เกณฑ์: ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและการเติบโตของบริษัท
  • อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (Price to Book Value Ratio – P/B)
  • สูตร: ราคาตลาดต่อหุ้น / มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น
  • ความหมาย: เปรียบเทียบราคาตลาดกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท
  • เกณฑ์: P/B < 1 อาจบ่งชี้ว่าหุ้นมีราคาถูก แต่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ
  • การใช้อัตราส่วนทางการเงินควรคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ เช่น ความแตกต่างของอุตสาหกรรม นโยบายบัญชี และควรวิเคราะห์แนวโน้มของอัตราส่วนเหล่านี้ย้อนหลังหลายปีเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
  • 3. การวิเคราะห์แนวโน้มทางการเงินและการเติบโตของบริษัท
  • การวิเคราะห์แนวโน้มทางการเงินช่วยให้นักลงทุนเข้าใจทิศทางการดำเนินงานและการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
  • 3.1 การวิเคราะห์แนวโน้มแบบแนวนอน (Horizontal Analysis)
  • เปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินในช่วงเวลาต่างๆ (เช่น 3-5 ปี)
  • คำนวณการเปลี่ยนแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์หรือค่าสัมบูรณ์
  • ช่วยให้เห็นแนวโน้มการเติบโตหรือถดถอยของรายการต่างๆ
  • ตัวอย่าง:
  • รายได้ (ล้านบาท)
  • 2021: 1,000
  • 2022: 1,100 (เพิ่มขึ้น 10%)
  • 2023: 1,250 (เพิ่มขึ้น 13.64%)
  • 3.2 การวิเคราะห์แนวโน้มแบบแนวตั้ง (Vertical Analysis)
  • แสดงแต่ละรายการเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดรวม
  • ช่วยให้เห็นโครงสร้างของงบการเงินและการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี
  • ตัวอย่าง:
  • 2023:
  • รายได้รวม: 1,250 ล้านบาท (100%)
  • ต้นทุนขาย: 750 ล้านบาท (60%)
  • กำไรขั้นต้น: 500 ล้านบาท (40%)
  • 3.3 การวิเคราะห์อัตราการเติบโต
  • อัตราการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth Rate)
  • สูตร: (รายได้ปีปัจจุบัน – รายได้ปีก่อน) / รายได้ปีก่อน
  • ช่วยประเมินการขยายตัวของธุรกิจ
  • อัตราการเติบโตของกำไร (Earnings Growth Rate)
  • สูตร: (กำไรสุทธิปีปัจจุบัน – กำไรสุทธิปีก่อน) / กำไรสุทธิปีก่อน
  • ช่วยประเมินความสามารถในการเพิ่มผลกำไร
  • อัตราการเติบโตของสินทรัพย์ (Asset Growth Rate)
  • สูตร: (สินทรัพย์รวมปีปัจจุบัน – สินทรัพย์รวมปีก่อน) / สินทรัพย์รวมปีก่อน
  • ช่วยประเมินการขยายขนาดของธุรกิจ
  • 3.4 การวิเคราะห์คุณภาพกำไร
  • เปรียบเทียบกำไรสุทธิกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรใกล้เคียงหรือสูงกว่ากำไรสุทธิ
  • หากต่างกันมาก อาจต้องตรวจสอบคุณภาพของกำไร
  • วิเคราะห์รายการพิเศษหรือรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ
  • แยกผลกระทบของรายการพิเศษออกจากผลการดำเนินงานปกติ
  • ตรวจสอบนโยบายการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย
  • ระวังการเร่งรับรู้รายได้หรือการชะลอการรับรู้ค่าใช้จ่าย
  • 3.5 การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  • วงจรเงินสด (Cash Conversion Cycle)
  • สูตร: ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ – ระยะเวลาชำระหนี้
  • ช่วยประเมินประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน
  • อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Return on Invested Capital – ROIC)
  • สูตร: กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี / (สินทรัพย์รวม – หนี้สินหมุนเวียน)
  • วัดประสิทธิภาพในการสร้างผลตอบแทนจากเงินลงทุน
  • การวิเคราะห์แนวโน้มทางการเงินและการเติบโตควรพิจารณาควบคู่กับปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ การแข่งขันในอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของธุรกิจได้อย่างครบถ้วน
  • 4. Red flags ทางการเงินที่นักลงทุนควรระวัง
  • Red flags คือสัญญาณเตือนที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินงานของบริษัท นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษหากพบสัญญาณเหล่านี้
  • 4.1 Red flags จากงบดุล
  • การเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้าในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการเก็บเงินหรือการรับรู้รายได้ที่ไม่เหมาะสม
  • การเพิ่มขึ้นของสินค้าคงเหลือในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการขายสินค้าหรือการล้าสมัยของสินค้า
  • การเพิ่มขึ้นของหนี้สินระยะสั้นอย่างรวดเร็ว
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาสภาพคล่องหรือการใช้เงินทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
  • ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ
  • บ่งชี้ว่าบริษัทมีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อันตราย
  • 4.2 Red flags จากงบกำไรขาดทุน
  • การเติบโตของรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับการเติบโตของกระแสเงินสด
  • อาจบ่งชี้ถึงการรับรู้รายได้ที่ไม่เหมาะสมหรือปัญหาในการเก็บเงิน
  • อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาในการควบคุมต้นทุนหรือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
  • ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้
  • อาจบ่งชี้ถึงการขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงานหรือการควบคุมค่าใช้จ่าย
  • กำไรที่เพิ่มขึ้นแต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาคุณภาพของกำไรหรือการจัดการบัญชีที่ไม่เหมาะสม
  • 4.3 Red flags จากงบกระแสเงินสด
  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบต่อเนื่อง
  • บ่งชี้ว่าธุรกิจ
  • บ่งชี้ว่าธุรกิจไม่สามารถสร้างเงินสดจากการดำเนินงานปกติได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสภาพคล่อง
  • กระแสเงินสดจากการลงทุนเป็นบวกต่อเนื่อง
  • อาจบ่งชี้ว่าบริษัทกำลังขายสินทรัพย์เพื่อสร้างกระแสเงินสด ซึ่งอาจไม่ยั่งยืนในระยะยาว
  • กระแสเงินสดจากการจัดหาเงินเป็นบวกต่อเนื่อง
  • อาจบ่งชี้ว่าบริษัทพึ่งพาการกู้ยืมหรือการออกหุ้นใหม่มากเกินไป ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงทางการเงิน
  • ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญระหว่างกำไรสุทธิและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาคุณภาพของกำไรหรือการจัดการบัญชีที่ไม่เหมาะสม
  • 4.4 Red flags อื่นๆ
  • การเปลี่ยนผู้สอบบัญชีบ่อยครั้ง
  • อาจบ่งชี้ถึงความขัดแย้งเกี่ยวกับวิธีการบัญชีหรือการเปิดเผยข้อมูล
  • รายการที่เกี่ยวข้องกันที่ผิดปกติหรือมีมูลค่าสูง
  • อาจบ่งชี้ถึงการถ่ายเทผลประโยชน์ระหว่างบริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีบ่อยครั้ง
  • อาจบ่งชี้ถึงความพยายามในการจัดการกำไรหรือการปกปิดปัญหาทางการเงิน
  • ความเห็นแบบมีเงื่อนไขหรือไม่แสดงความเห็นจากผู้สอบบัญชี
  • บ่งชี้ถึงปัญหาสำคัญในงบการเงินที่ต้องได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม
  • การเติบโตที่ผิดปกติเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม
  • การเติบโตที่เร็วหรือช้าเกินไปอาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงหรือปัญหาในการดำเนินธุรกิจ
  • การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงบ่อยครั้ง
  • อาจบ่งชี้ถึงปัญหาภายในองค์กรหรือความไม่มั่นคงในการบริหาร
  • การลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก
  • อาจบ่งชี้ถึงการขาดโฟกัสหรือการใช้เงินทุนอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
  • วิธีการจัดการกับ Red flags:
  • ทำการวิจัยเพิ่มเติม: หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุของ Red flags ที่พบ
  • ตั้งคำถาม: เตรียมคำถามสำหรับผู้บริหารเกี่ยวกับประเด็นที่น่าสงสัย
  • เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: ดูว่าปัญหาที่พบเป็นปัญหาเฉพาะบริษัทหรือเป็นปัญหาทั่วไปในอุตสาหกรรม
  • พิจารณาบริบท: บางครั้ง Red flags อาจเกิดจากเหตุการณ์พิเศษหรือการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ
  • ประเมินความเสี่ยง: พิจารณาว่า Red flags ที่พบมีผลกระทบต่อการลงทุนอย่างไร
  • ติดตามอย่างต่อเนื่อง: หาก Red flags ยังคงอยู่หรือแย่ลง อาจต้องพิจารณาทบทวนการลงทุน
  • บทสรุป Module 3: การอ่านและวิเคราะห์งบการเงิน
  • ในโมดูลนี้ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ:
  • โครงสร้างของงบการเงิน: งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด
  • อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญสำหรับการประเมินสุขภาพธุรกิจ
  • การวิเคราะห์แนวโน้มทางการเงินและการเติบโตของบริษัท
  • Red flags ทางการเงินที่นักลงทุนควรระวัง
  • การอ่านและวิเคราะห์งบการเงินเป็นทักษะสำคัญสำหรับนักลงทุนแบบ Value Investing เพราะช่วยให้เราเข้าใจสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และแนวโน้มของบริษัทได้อย่างลึกซึ้ง อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์งบการเงินควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์บริษัทเท่านั้น นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น คุณภาพของผู้บริหาร โมเดลธุรกิจ การแข่งขันในอุตสาหกรรม และแนวโน้มเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • การฝึกฝนการอ่านและวิเคราะห์งบการเงินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญ ทำให้สามารถระบุโอกาสการลงทุนที่ดีและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ในโมดูลต่อไป เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นและการหาราคาเหมาะสม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการตัดสินใจลงทุนแบบ Value Investing

By admin

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *